วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Introductions
เมื่อมีการพบปะกัน หากเป็นบุคคลที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ควรทำการแนะนำตนเองให้รู้จักซึ่งกันและกัน เพื่อให้การพูดคุยกันดำเนินไปด้วยดีและมีความเป็นมิตรยิ่งขึ้น ในกรณีที่ไม่มีบุคคลที่สาม ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งควรแนะนำตนเอง เพื่อเป็นการเริ่มความเป็นมิตรก่อนดังนี้
-My name is……………………….. .
-I’m………………………………... .
-May I introduce myself? My name is…………………. .
ผมขอแนะนำตนเอง ผมชื่อ…………………………………
สำหรับอีกฝ่ายหนึ่งควรตอบด้วยข้อความ “สวัสดี” และบอกชื่อของตนเองเช่นกัน
-How do you do? My name is………………….. .
ตัวอย่าง
-John : “May I introduce myself? My name is John.”
-Jack : “How do you do? I’m Jack.”
-John : “How do you do?”
2.การแนะนำผู้อื่น
ในกรณีที่มีบุคคลที่สาม ซึ่งยังไม่รู้จักกับบุคคลที่เรากำลังพูดด้วย โดยมารยาทแล้วควรแนะนำบุคคลที่สองและสามให้รู้จักกัน โดยใช้ข้อความต่อไปนี้ พร้อมทำมือประกอบการแนะนำ
-This is………………….. .
-May I introduce you to…………….? This is………………….. .
-I’d like you to meet…………………… . This is………………….. .
-Let me introduce………………… .
-May I present………………….… .
บุคคลที่ได้รับการแนะนำตัวควรกล่าว How do you do? และอีกบุคคลหนึ่งก็ควรตอบ How do you do? เช่นกัน
ตัวอย่าง
-Jane : “I’d like you to meet Judy.
Judy, this is Joy.”
-Joy : “How do you do?”
-Judy : “How do you do?”
บางครั้งเพื่อให้การสนทนาดำเนินไปด้วยความเป็นมิตร ผู้ที่ได้รับการแนะนำตัวควรกล่าวเพิ่มเติม เช่น
-I’m glad to meet you.
ฉันดีใจที่ได้พบคุณ
-Glad to know you.
ฉันดีใจที่ได้รู้จักคุณ
Greeting
1.Good morning แปลว่า สวัสดี (ตอนเช้า)
ใช้กับบุคคลโดยทั่วไปตั้งแต่เวลาเช้าหรือหลังเที่ยงคืนถึงเวลาเที่ยงวัน หรือเวลาอาหารกลางวัน การออกเสียง Good มักจะเบาจนบางครั้งได้ยินแต่ morning สำหรับผู้ตอบนั้นก็กล่าวว่า Good morning ในทำนองเดียวกัน
ตัวอย่าง A : “Good morning……………………”
B : “Good morning……………………”
2.Good afternoon แปลว่า สวัสดี (ตอนบ่าย)
ใช้กับบุคคลโดยทั่ว ๆ ไปตั้งแต่หลังเวลาเที่ยงวันหรือเวลาอาหารกลางวันจนไปถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินหรือราวหกโมงเย็น การออกเสียงคำทักทายนี้ออกเสียงเบาที่ Good เช่นเดียวกับ Good morning สำหรับผู้ตอบนั้นก็กล่าวคำว่า Good afternoon เช่นเดียวกับผู้ทักทาย
ตัวอย่าง A : “Good afternoon……………………”
B : “Good afternoon ……………………”
3.Good evening แปลว่า สวัสดี (ตอนค่ำ)
ใช้กับบุคคลโดยทั่ว ๆ ไปตั้งแต่เวลาหลังหกโมงเย็นไปแล้ว คำทักทายนี้ออกเสียงเบาที่ Good เช่นเดียวกับ Good morning และ Good afternoon สำหรับผู้ตอบนั้นก็กล่าว Good evening เช่นเดียวกับผู้ทักทาย
ตัวอย่าง Joe : “Hello, Jack…………………… .”
Jack : “Hello…………………… ”
4.Hello / Hi แปลว่า สวัสดี
ใช้กับบุคคลที่สนิทเป็นกันเองหรือในการทักทายที่มิได้เป็นพิธีการ เราจะไม่ใช้กับผู้ใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามอาจใช้กับพ่อแม่ หรือผู้ที่สนิทกันได้ในบางโอกาส สำหรับการตอบนั้น ผู้ตอบก็กล่าวเช่นเดียวกับผู้ทักทาย
5.How do you do?
เป็นข้อความที่ใช้ทักทายกันเฉพาะกับคนที่พบหรือรู้จักกันเป็นครั้งแรกใช้ทั้งกลางวันและกลางคืน ข้อความนี้เป็นรูปคำถามที่มีความหมายว่า “สวัสดี” ซึ่งไม่ต้องการคำตอบ ดังนั้นผู้ตอบจึงต้องกล่าวตอบโดยใช้ How do you do? เช่นเดียวกับผู้ทักทาย
ตัวอย่าง A : “How do you do?
B : “How do you do?
6.How are you? (การถามเกี่ยวกับทุกข์สุข)
หลังจากการกล่าวทักทายกันด้วยคำว่า “สวัสดี” แล้ว ประชาชนที่พูดภาษาอังกฤษมักจะถือเป็นธรรมเนียมที่จะต้องถามทุกข์สุขของอีกฝ่ายหนึ่งติดตามมา โดยกล่าวข้อความต่อไปนี้
How are you? (คุณเป็นอย่างไร)
How are you…………………?
(today)
(this morning)
(this afternoon)
(this evening)